❀ดอกเบญจมาศ (Chrysanthemum)❀
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendranthemum grandifflora (เดิมชื่อ Chysanthemum morifolium)
วงศ์ : Asteraceae(เดิมวงศ์ Compositae)
ถิ่นกำเนิด : ในประเทศญี่ปุ่นและจีน
✣ ลักษณะทั่วไป ✣
เบญจมาศเป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่มีดอกสีสันสดใสที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้งใช้คลุมดินตามแนวทางเดินหรือริมรั้วเพราะเป็นต้นไม้ที่ชอบแดดแต่ก็สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับภายในอาคารได้ และมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็สามารถออกดอกได้สวยงาม จึงเป็นที่นิยมนำมาเป็นไม้ประดับภายในเพื่อสร้างสีสันสดใสให้กับสถานที่ แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเบญจมาสเป็นไม้ประดับที่มีความสามารถสูงมากในการดูดสารพิษภายในอาคารเบญจมาศเป็นไม้ขนาดเล็กสูงประมาณ 1 - 3 ฟุต ตามกิ่งก้าและลำต้นมีขนละเอียด ใบเรียวรี ขอบใบหยัก ใบสีเขียวอ่อนนุ่มมีขนอ่อนๆทั่วทั้งใบ ดอกกลม กลีบใบจะซ้อนๆ กันมีหลากหลายสี สีแดง สีบานเย็น สีขาวสีม่วง น้ำเงิน สีเหลือง เบญจมาศเป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแดด ต้องการน้ำปานกลาง และความชื้นอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อนำมาปลูกภายในอาคารจึงควรตั้งไว้ในที่ๆแสงแดดส่องถึง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปีนอกจากดอกที่มีสีสันสดใส ทำให้บรรยากาศภายในสดชื่นสว่างไสว ชึ่งเป็นลักษณะเด่นของเบญจมาศแล้วเบญจมาศยังเป็นไม้ประดับที่มีความน่าสนใจมาก อันเนื่องมาจากประสิทธิภาพในการดูดสารพิษสูงมากจำพวกสารพิษ ฟอร์มาดีไฮด์ เบนซีน และแอมโมเนีย จึงไม่ควรมองข้ามที่จะหาเบญจมาศมาปลูกในสำนักงานหรือบ้านเรือน
✣ พันธุ์ ✣
เบญจมาศเป็นดอกประเภท Head ซึ่งเป็นดอกที่เกิดจากการรวมดอกย่อย 2 ชนิด คือ กลีบดอกชั้นนอก (Ray floret) ซึ่งเป็นดอกตัวเมีย ไม่มีเกสรตัวผู้ และกลีบดอกชั้นใน (Disk floret) ซึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย เบญจมาศ แยกตามประโยชน์ใช้สอยและการปลูกปฏิบัติ ได้ 4 ประเภท ดังนี้
1. Exhibition type เป็นเบญจมาศที่มีดอกขนาดใหญ่ ลำต้นสูงประมาณ 1 เมตร ไม่มีการเด็ดยอดแต่ต้องเด็ดตาข้าง ทิ้งเพื่อให้เหลือดอกยอดเพียง 1 ดอก
2. Standard type มีดอกเล็กกว่าประเภท แรก ต้องเด็ดยอดเพื่อให้แตกกิ่งข้าง 3-4 กิ่ง และเด็ดดอกข้างทิ้งให้เหลือดอกยอดเพียงดอกเดียว นิยมใช้เป็นไม้ตัดดอก
3. Spray type เบญจมาศประเภทนี้เป็นประเภทที่มีหลายดอกต่อ 1 กิ่ง และมี 6-10 กิ่งต่อต้น ไม่มีการเด็ดดอกข้าง ดอกมีขนาดเล็กกว่าประเภท Standard type ใช้ปลูกเป็นไม้ตัดดอกหรือถอนขายทั้งต้นโดยตัดรากทิ้ง
4. Potted plant เบญจมาศประเภทนี้ใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง มีทรงพุ่มกะทัดรัด ดอกดก และมีดอกขนาดเล็กแตกกิ่งก้านมาก
ทั่วโลกมีพันธุ์เบญจมาศอยู่กว่า 1000 พันธุ์ ที่นิยมปลูกในประเทศส่วนใหญ่ จะเป็นประเภท Standard Type สีเหลืองและสีขาว ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันพันธุ์ที่นิยมปลูกในขณะนี้คือ พันธุ์ขาวการะเกด พันธุ์ขาวเมืองตาก และพันธุ์ TW12 (Pui Tsin-Shin) ซึ่งให้ดอกสีขาว พันธุ์เหลืองตาก พันธุ์เหลืองทอง พันธุ์เหลืองอินทนนท์ พันธุ์เหลืองเกษตร และพันธุ์ TW17 (Shin-Fan-Tsu-Ri) ซึ่งมีดอกสีเหลือง ในปัจจุบันมีการนำเข้าพันธุ์ใหม่ ๆ จากต่างประเทศเพื่อมาปลูกคัดเลือกพันธุ์อยู่เสมอ โดยเฉพาะพันธุ์ของเบญจมาศแบบ Spray Type ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของตลาดโลกมากขึ้น ดังนั้นเกษตรกรจึงควรสนใจติดตามข่าววคราวเกี่ยวกับพันธุ์ใหม่สำหรับนำไปปลูกเลี้ยง ทั้งนี้เนื่องจากพันธุ์ใหม่ มักมีราคาดอกสูงกว่าพันธุ์เดิม
✣ การขยายพันธุ์ ✣
การขยายพันธุ์เบญจมาศ นิยมใช้กันอยู่ 2 วิธี คือ
1. การปักชำโดยใช้ส่วนยอดของกิ่ง
2. การแยกหน่อ เบญจมาศบางพันธุ์โดยเฉพาะพันธุ์สั่งมาจากญี่ปุ่น
1. การปักชำโดยใช้ส่วนยอดของกิ่ง
2. การแยกหน่อ เบญจมาศบางพันธุ์โดยเฉพาะพันธุ์สั่งมาจากญี่ปุ่น
✣ การเตรียมดิน ✣
ดินปลูกเบญจมาศควรมีความอุดมสมบูรณ์ โปร่งร่วนซุยระบายน้ำดี มี pH 6-7 ถ้าพื้นที่ที่ปลูกเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงลักษณะดินเป็นดินเหนียว ซึ่งมีการระบายน้ำไม่ดี ควรเตรียมดินแบบทำสวนผัก คือยกเป็นร่อง แต่ละแปลงมีขนาดความกว้าง 5 เมตร เว้นทางเดินทั้งแปลงข้างละ 50 cmร่องน้ำควรกว้าง 1 เมตร ลึก 60 cm ความยาวของแปลงเท่าไรก็ได้แล้วแต่ความสะดวก การเตรียมดินควรทำในฤดูแล้ง โดยขุดดิน พลิกดิน และตากดินไว้นาน 2 สัปดาห์ แล้วเก็บวัชพืชออกจากแปลง หลังจากนั้นทำการย่อยดิน ใส่ปุ๋ยคอกและปูนขาว แล้วจึงยกแปลง ระยะเวลาที่ใช้ในการเตรียมดินประมาณ 1 เดือน แต่ถ้าบริเวณใดน้ำท่วมไม่ถึงก็ไม่จำเป็นต้องยกเป็นร่อง
❀ การปลูกและการดูแลรักษา ❀
✣ การปลูก ✣
ในการปลูกควรเลือกต้นพันธุ์ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน ปลูกลงในแปลงเดียวกัน ก่อนปลูกควรรดน้ำให้ดินชุ่มชื่นเสียก่อน การปลูกในตอนเย็นดีกว่าตอนเช้า เพราะทำให้ต้นพันธุ์ไม่เฉาสามารถตั้งตัวได้เร็ว ในกรณีที่ปลูกแล้วเด็ดยอด เพื่อให้ได้ดอกมาควรใช้ระยะปลูก 15x15 cm หรือ 20x20 cm แต่ในกรณีที่ไม่เด็ดยอดควรใช้ระยะปลูก 10x10 cm ควรปลูกหมุนเวียนกับพืชอื่น ๆ เช่น พืชพวกถั่วและผักต่าง ๆ เพราะถ้าปลูกซ้ำที่เดิมบ่อย ๆ จะเป็นที่สะสมโรคแมลง และเมื่อปลูกแล้ว ควรจะคลุมด้วยฟางข้าวหรือวัสดุอื่น ๆ ฤดูปลูกที่เหมาะสมขึ้นกับชนิดพันธุ์ เช่นพันธุ์เหลืองเขี้ยว มักจะปลูกปลายฤดูหนาว เพื่อให้ดอกบานในฤดู หรือพันธุ์เหลืองตากมักปลูกต้นฤดูหนาวเพื่อให้ดอกบานในเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม
✣ การให้น้ำ ✣
ในระยะ 7-10 วัน ภายหลังการย้ายเบญจมาศลงปลูกในแปลงแล้วควรรดน้ำเช้า-เย็น เมื่อต้นกล้าตั้งตัวได้แล้วให้รดน้ำวันละครั้งในตอนเช้า การให้น้ำแบบใช้แครงสาดหรือใช้ลากจูงเรือที่มีเครื่องพ่นน้ำออก 2 ข้าง จะทำให้เบญจมาศเปียกทั้งต้นและใบอาจก่อให้เกิดโรคราได้ง่ายมาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรรดน้ำในตอนเช้าเพื่อให้น้ำที่เปียกได้มีโอกาสแห้งในเวลาอันสั้นในการรดน้ำควรจะรดจนโชกเพื่อให้โอกาสน้ำไหลซึมผ่านลงไปในดินให้มากพอ ทั้งนี้เพื่อป้องกันอันตรายอันเกิดจากการสะสมของเกลือ ซึ่งเป็นอันตรายกับต้นเบญจมาศมาก
✣ การใส่ปุ๋ย ✣
เมื่อต้นตั้งตัวแล้วก็เริ่มให้ปุ๋ย ปุ๋ยที่ให้แก่เบญจมาศในระยะแรกควรเป็นปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงกว่าฟอสฟอรัสและโปแตสเซียม คือปุ๋ยในอัตรา 3:2:1 ใส่ทุก ๆ 7 วัน เพื่อเร่งให้มีการเจริญเติบโตทางลำต้น หลัง 2 เดือนแล้วให้เปลี่ยนสูตรใหม่ โดยให้ปุ๋ยทีมีไนโตรเจนต่ำ ฟอสฟอรัสสูง คือปุ๋ยอัตรา 1:2:1 เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของดอกโดยใส่ทุก ๆ 10 วันเรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งเก็บดอก จากการสำรวจเกษตรกรในภาคกลาง พบว่านิยมใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 ใส่ต้นละ 1 ช้อนชา เดือนละครั้ง
✣ การเด็ดยอด ✣
ตามปกติแล้ว การปลูกเบญจมาศมักจะมีการเด็ดยอดเพื่อให้ต้นแตกกิ่งข้างมากขึ้น และจำนวนดอกเพิ่มขึ้นตามจำนวนกิ่ง นอกจากนี้ยังช่วยให้ดอกที่ได้มีคุณภาพใกล้เคียงกัน บานพร้อม ๆ กัน การเด็ดยอดมักจะทำกันทันที เมื่อเบญจมาศตั้งตัวได้แล้ว คือหลังจากปลูกประมาณ 5-10 วัน ส่วนมากนิยมเด็ดยอดออกประมาณ 1 นิ้ว แต่การเด็ดยอดจะมีข้อเสียคือ ถึงจะได้ดอกมากก็จริง แต่ดอกมักจะเล็กขายได้ราคาต่ำ สำหรับการปลูกแบบไม่เด็ดยอดคือปลูกแบบต้นเดียวดอกเดียว (กิ่งข้างที่แตกออกมาใหม่ถูกปลิดทิ้งหมด) ดอกจะมีขนาดใหญ่ ก้านดอกยาว แข็งแรง ประหยัดเวลาและแรงงานในการเด็ดยอด
✣ การปลิดดอกข้าง ✣
ถ้าต้องการให้ดอกเบญจมาศมีขนาดใหญ่ตามความต้องการจะต้องมีการปลิดดอกที่ล้อมรอบดอกยอด และดอกที่แตกตามซอกใบให้หมด ให้แต่ละกิ่งเหลือแต่ดอกยอดเดียงดอกเดียว การปลูกเบญจมาศให้มีดอกขนาดใหญ่โดยใช้วิธีปลิดดอกข้างใช้ได้แต่เฉพาะบางพันธุ์ เช่น พันธุ์เหลืองเขี้ยว เหลืองไข่ บางพันธุ์ที่ต้องการดอกช่อ เช่น พันธุ์เหลืองทอง ก็ไม่มี
✣ การปลิดดอก ✣
การปลิดดอกข้างจะต้องทำให้ทันเวลาไม่ช้าหรือเร็วเกินไปควรปลิดเมื่อดอกข้างมีขนาดโตพอสมควรคือขนาดเท่ากับหัวไม้ขีดไฟ วิธีปลิดที่ถูกต้องคือหงายมือขึ้น สอดมือระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง เข้ายึดกิ่งที่ต้องการจะปลิดดอกข้างไว้แล้วใช้นิ้วโป้งโน้มลงสัมผัสดอกตูมที่ต้องการปลิดแล้วกดพับเข้าตัวเราคอดอกจะหักทันทีไม่ควรใช้วิธีเด็ด เพราะเช้าเสียเวลา และทำให้ก้านดอกที่ถูกเด็ดจะเหลือค้างติดอยู่ทำให้ก้านดอกไม่เรียบ
✣ การเพิ่มแสงไฟ ✣
เบญจมาศเป็นพืชที่ไวต่อความยาวของวันหรือช่วงแสงเบญจมาศส่วนใหญ่เป็นพืชวันสั้น คือถ้าเบญจมาศได้รับแสงในเวลากลางวันเกิน 13 ชั่วโมงครึ่ง เบญจมาศจะไม่ออกดอก หรืออีกนัยหนึ่งคือถ้าเบญจมาศได้รับแสงน้อยกว่า 13 ชั่วโมงครึ่ง เบญจมาศจะออกดอก ความยาวของช่วงแสงในทุกภาคของประเทศไทยและทุกฤดูมีประมาณ 12 ชั่วโมงครึ่ง ดังนั้นเบญจมาศจึงสามารถปลูกและออกดอกได้ทุกฤดูในประเทศไทย แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องพยายามให้ต้นเบญจมาศมีโอกาสเจริญเติบโตทางกิ่งก้านอย่างพอเพียงก่อนที่จะออกดอกมิฉะนั้นดอกเบญจมาศจะมีคุณภาพไม่ดี คือก้านดอกสั้นและมีขนาดเล็ก ใบไม่งามและจำนวนใบไม่มาก ดอกมีขนาดเล็ก การแก้ไขให้เบญจมาศมีโอกาสเจริญเติบโตทางกิ่งก้านอย่างพอเพียงก่อนออกดอก ทำได้โดยการให้แสงไฟให้ยาวนานเพิ่มขึ้นอาจจะเป็นอีก 3-5 ชม. แล้วแต่พันธุ์และท้องที่
✣โรคและแมลง ✣
โรคและแมลงที่เข้าทำลายเบญจมาศมีดังนี้
1. โรคใบจุด
2. โรคใบเหี่ยว
3. โรคใบแห้ง
4. โรคดอกเน่า
5. เพลี้ยไฟ
6. เพลี้ยอ่อน
7. หนอนผีเสื้อกินดอก
8. ไรแดงหรือแมงมุมแดง
2. โรคใบเหี่ยว
3. โรคใบแห้ง
4. โรคดอกเน่า
5. เพลี้ยไฟ
6. เพลี้ยอ่อน
7. หนอนผีเสื้อกินดอก
8. ไรแดงหรือแมงมุมแดง
เบญจมาศ เป็น ไม้ดอกไม้ประดับ ชนิดหนึ่งที่นิยมปลูก เลี้ยงและ ใช้กันอย่าง แพร่หลาย สามารถปลูกได้ในทุกภาคของประเทศไทย แต่ถ้าปลูกในที่มีอากาศหนาวเย็น จะได้ดอกที่มีคุณภาพดี ดอกมีรูปทรงสวยงาม สีสันสดใส มีพันธุ์ต่าง ๆ มากมายหลากสี และหลายฟอร์ม นอกจากใช้เป็นไม้ตัดดอกแล้ว ยังใช้เป็น ม้กระถาง และไม้ปลูกประดับสวนได้ดีอีกด้วย ตามธรรมชาติมีฤดูกาลออกดอกในช่วงกลางวันสั้น คือระหว่างเดือนตุลาคมถึงมกราคม
โครงการหลวงได้ รวบรวมพันธุ์เบญจมาศจากประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล และสหรัฐอเมริกา มาทำการปลูกทดลองแล้วคัดพันธุ์ที่ดี ทำการขยายต้นพันธุ์ปลอดโรคโดยวิธีเพาะเลี้ยงเนี้อเยื่อ นำไปส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกกันเป็นอาชีพเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น นับว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ปัจจุบันชาวเขาสามารถผลิตดอกเบญจมาศที่มีคุณภาพได้ตลอดปีภายในเรือนโรงกันฝนและแมลง มีการบังคับการออกดอกของเบญจมาศโดยการควบคุมด้วยการให้ไฟฟ้าในเวลากลางคืนความสำคัญทางเศรษฐกิจ
เบญจมาศเป็นไม้ตัดดอกอีกชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกเลี้ยงและใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากเป็นไม้ดอกที่มีรูปทรงสวยงาม สีสันสดใส ปลูกเลี้ยงง่าย และมีหลายพันธุ์ให้เลือก ตลอดจนเป็นไม้ดอกที่สามารถจะกำหนดเวลาบานของดอกได้อีกด้วย ในประเทศไทยขณะนี้มีการปลูกเลี้ยงเบญจมาศกันมาก โดยมีแหล่งปลูกเป็นการค้าที่สำคัญของแต่ละภาคดังนี้ ภาคกลาง-นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ-เชียงใหม่และเชียงราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-อุบลราชธานี อุดรธานี และขอนแก่น ภาคใต้-สุราษฎร์ธานี
✣ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ✣
เบญจมาศมีดอกเป็นแบบ “head”ประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก ดอกที่อยู่รอบนอกจะมีการเจริญเติบโตที่ดีกว่า มองเห็นกลีบดอกได้ชัดเจนกว่า เรียกว่า ray florets ซึ่งเป็นดอกแบบ imperfect คือมีแต่เกสรตัวเมียไม่มีเกสรตัวผู้ ดอกที่อยู่วงในเข้าไปและมีการเจริญเติบโตช้า มองเห็นกลับดอกไม่ชัดเจน เพราะมีกลีบดอกสั้น รวมกันอยู่เป็นกระจุกตรงกลางของดอก เบญจมาสเป็นไม้เนื้ออ่อน และเป็นพืชหลายฤดู แต่นิยมปลูกเป็นไม้ล้มลุก มีอายุ 90-150 วันและเป็นพืชไวต่อความยาวของวันหรือช่วงแสง
❀ โครงสร้างภายนอกของต้นเบญจมาศ ❀
❀
โครงสร้างภายในของต้นเบญจมาศ
❀
✣ Cross Section ✣
✣ ใบ (Leaf) ✣
✣
Upper epidermis
✣
✣
Lower epidermis
✣
☛ โครงสร้างภายในของใบ ☚
1. Epidermis : เป็นเซลล์เดียวเรียงชิดติดกัน บางตำแหน่งมี Root hair cell
2. Mesophyll เป็นเนื้อเยื่อพื้นของใบอยู่ระหว่างอิพิเดอร์มิสทั้งสองด้าน (mesophyll มาจากคำว่า meso แปลว่า กลาง และ phyll แปลว่า ใบ) แบ่งเป็น 2 ชั้นคือ
Palisade mesophyll เซลล์มีรูปร่างรียาว หรือรูปตัวยูตั้งฉากกับอิพิเดอร์มิส อยู่ติดกับ upper epidermis เซลล์อัดตัวกันแน่น มีประมาณ 1-3 ชั้น ภายในเซลล์มีเม็ดคลอโรพลาสต์จำนวนมาก palisade mesophyll จึงเป็นส่วนที่ทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้มาก พืชในต้นเดียวกัน ใบที่ได้รับแสงแดด (sun leave) มักจะมีพาลิเสดหลายชั้นกว่าใบร่ม (shade leave)
Spongy mesophyll เซลล์มีรูปร่างรี กลม อยู่ติดกับ lower epidermis เซลล์เกาะตัวกันอย่างหลวมๆ และไม่เป็นระเบียบ ภายในเซลล์มีเม็ดคลอโรพลาสต์ มักจะสังเคราะห์แสงได้น้อยกว่าชั้นพาลิเสด เป็นส่วนที่แก๊ส (CO2) แพร่เข้าไปภายในใบพืช
✣ ลำต้น (stem) ✣
1. Epidermis : เป็นเซลล์เดียวเรียงชิดติดกัน บางตำแหน่งมี Root hair cell
2. Cortex : ประกอบด้วย Parenchyma สะสมน้ำและอาหาร ข้างในสุดมี Endodermis ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ซึ่ง Endodermis แต่ละเซลล์มีสาร Suberin, Lignin สะสมอยู่เป็นแถบที่ผนังเซลล์ เรียก Casperian strip ถ้าไม่มีแถบนี้จะทำให้ผนังเซลล์บาง ซึ่งมักอยู่ตรงกับแฉก Xylem ใน Stele เรียกเซลล์พวกนี้ว่า Passage cell
3. Stele : ประกอบด้วย Pericycle ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ถัดจาก Endodermis สามารถเปลี่ยนกลับเป็นเนื้อเยื่อเจริญแล้วแบ่งเซลล์เป็นรากยื่นออกมา ซึ่งในผักคะน้านี้เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ ส่วนที่สร้างออกมาจาก Pericycle เรียก รากแขนง (Lateral root) ซึ่งมีโครงสร้างต่าง ๆ เหมือนรากแก้ว และมีมัดท่อลำเลียง (Vascular bundle) อยู่ตรงกลาง Stele ซึ่งในพืชใบเลี้ยงคู่จะมี Xylem เป็นแฉก ๆ และมี Phloem อยู่ระหว่างแฉก นอกจากนี้ยังมี Vascular cambium อยู่ระหว่าง Xylem และ Phloem
✣ ราก (root) ✣
☛ โครงสร้างภายในของรากพืชตัดตามขวาง ☚
1. Epidermis : เป็นเซลล์เดียวเรียงชิดติดกัน บางตำแหน่งมี Root hair cell
2. Cortex : ประกอบด้วย Parenchyma สะสมน้ำและอาหาร ข้างในสุดมี Endodermis ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ซึ่ง Endodermis แต่ละเซลล์มีสาร Suberin, Lignin สะสมอยู่เป็นแถบที่ผนังเซลล์ เรียก Casperian strip ถ้าไม่มีแถบนี้จะทำให้ผนังเซลล์บาง ซึ่งมักอยู่ตรงกับแฉก Xylem ใน Stele เรียกเซลล์พวกนี้ว่า Passage cell
3. Stele : ประกอบด้วย Pericycle ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ถัดจาก Endodermis สามารถเปลี่ยนกลับเป็นเนื้อเยื่อเจริญแล้วแบ่งเซลล์เป็นรากยื่นออกมา ซึ่งในผักคะน้านี้เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ ส่วนที่สร้างออกมาจาก Pericycle เรียก รากแขนง (Lateral root) ซึ่งมีโครงสร้างต่าง ๆ เหมือนรากแก้ว และมีมัดท่อลำเลียง (Vascular bundle) อยู่ตรงกลาง Stele ซึ่งในพืชใบเลี้ยงคู่จะมี Xylem เป็นแฉก ๆ และมี Phloem อยู่ระหว่างแฉก นอกจากนี้ยังมี Vascular cambium อยู่ระหว่าง Xylem และ Phloem





